ทุติยปริจฺเฉทวณฺณนา
ทุติยปริจฺเฉทวณฺณนา การอธิบายซึ่งปริจเฉทที่
๒
มยา อันเรา วุจฺจเต จะกล่าว.
๑๕๙. เอว ตาว
จิตฺต
ภูมิชาติสมฺปโยคสงฺขารฌานาลมฺพนมคฺคเภเทน ยถารห วิภชิตฺวา อิทานิ เจตสิกวิภาคสฺส อนุปฺปตฺตตฺตา
ปม ตาว จตุพฺพิธสมฺปโยคลกฺขณสนฺทสฺสนวเสน เจตสิกลกฺขณ ฅเปตฺวา ตทนนฺตร
อฺสมานอกุสลโสภณวเสน ตีหิ
ราสีหิ เจตสิกธมฺเม
อุทฺทิสิตฺวา เตส โสฬสหากาเรหิ
สมฺปโยค เตตฺตึสวิเธน สงฺคหฺจ
ทสฺเสตุ เอกุปฺปาทนิโรธา จาติอาทิมารทฺธ.
อิทานิ บัดนี้
อนุปฺปตฺตตฺตา ก็เพราะความที่ - เจตสิกวิภาคสฺส การจำแนกเจตสิก -
ถึงแล้วโดยลำดับ เอกุปฺปาทนิโรธา
จ อิติ อาทิ วจนํ คำเริ่มต้นว่า เอกุปฺปาทนิโรธา จ ดังนี้ อาจริเยน อันอาจารย์ วิภชิตฺวา ครั้นจำแนก จิตฺตํ จิต ภูมิชาติสมฺปโยคสงฺขารฌานาลมฺพนมคฺคเภเทน
ตามความต่างกันแห่ง ภูมิ ชาติ สัมปโยค สังขาร ฌาน อารมณ์และมรรค ยถารหํ
ตามสมควร เอวํ
อย่างนี้ ตาว ก่อนแล้ว อารทฺธํ จึงเริ่มขึ้นไว้ ทสฺเสตุ
เพื่อที่จะ - ฅเปตฺวา วาง เจตสิกลกฺขณํ ลักษณะของเจตสิก จตุพฺพิธสมฺปโยคลกฺขณสนฺทสฺสนวเสน
เนื่องด้วยจะชี้ลักษณะคือการประกอบกัน ๔ ประการ ปฅมํ เป็นลำดับแรก อุทฺทิสิตฺวา
แล้วแสดง เจตสิกธมฺเม เจตสิกธรรม ราสีหิ โดยเป็นกอง ตีหิ สาม
อฺสมานอกุสลโสภณวเสน โดยเกี่ยวกับเป็นอัญญสมานเจตสิก อกุศลเจตสิก และโสภณเจตสิก
ตทนนฺตรํ ไว้ในลำดับแห่งการวางลักษณะคือการประกอบกัน ๔ ประการนั้น - แล้วจึงแสดง
สมฺปโยคํ ซึ่งสัมปโยคะ โสฬสหากาเรหิ
โดยอาการ ๑๖ จ ด้วย สงฺคหํ ซึ่งสังคหะ จ ด้วย เตสํ แห่งเจตสิกเหล่านั้น เตตฺตึสวิเธน
[สงฺคเหน โดยสังคหนัย] มีประการ
๓๓ ตาว โดยลำดับ.
๑๖๐. จิตฺเตน
สห เอกโต
อุปฺปาโท จ นิโรโธ
จ เยสนฺเต เอกุปฺปาทนิโรธา. เอก อาลมฺพนฺจ
วตฺถุ จ เยสนฺเต เอกาลมฺพนวตฺถุกา. เอว จตูหิ
ลกฺขเณหิ เจโตยุตฺตา จิตฺเตน
สมฺปยุตฺตา ทฺวิปฺาส
สลกฺขณธารณโต ธมฺมา นิยตโยคิโน
อนิยตโยคิโน จ เจตสิกาติ มตา.
อุปฺปาโท
จ
การเกิดขึ้น ด้วย นิโรโธ จ การดับไป ด้วย เอกโต = สห พร้อมกับ
จิตฺเตน ด้วยจิต
เยสํ ของธรรมเหล่าใด เต ธรรมเหล่านั้น เอกุปฺปาทนิโรธา
ชื่อว่า มีการเกิดขึ้นและการดับไปพร้อมกับจิต. อาลมฺพณํ จ อารมณ์ ด้วย วตฺถุ
จ วัตถุ ด้วย เอกํ เดียวกัน เยสํ ของธรรมเหล่าใด เต ธรรมเหล่านั้น
เอกาลมฺพนวตฺถุกา ชื่อว่า มีอารมณ์และวัตถุเดียวกันกับจิต. ธมฺมา
ชื่อว่า ธรรม สลกฺขณธารณโต เพราะทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน ทฺวิปฃฺฃาส ๕๒ ประการ เจโตยุตฺตา = จิตฺเตน สมฺปยุตฺตา ที่ประกอบด้วยจิต จตูหิ ลกฺขเณหิ โดยลักษณะ
๔ เอวํ อย่างนี้ มตา อันบัณฑิตเรียก อิติ ว่า เจตสิกา เจตสิก นิยตโยคิโน
จ ทั้งที่ประกอบประจำ อนิยตโยคิโน จ และไม่ประกอบประจำ.
๑๖๑. ตตฺถ ยทิ
เอกุปฺปาทมตฺเตเนว
เจโตยุตฺตาติ อธิปฺเปตา ตทา จิตฺเตน
สห อุปฺปชฺชมานาน รูปธมฺมานมฺปิ
เจโตยุตฺตตา อาปชฺเชยฺยาติ
เอกนิโรธคหณ. เอวมฺปิ จิตฺตานุปริวตฺติโน วิฺตฺติทฺวยสฺส ปสงฺโค
น สกฺกา นิวาเรตุ
ตถา เอกโต อุปฺปาโท วา
นิโรโธ วา เอเตสนฺติ
เอกุปฺปาทนิโรธาติ ปริกปฺเปนฺตสฺส
ปุเรตรมุปฺปชฺชิตฺวา จิตฺตสฺส ภงฺคกฺขเณ
นิรุชฺฌมานานมฺปิ รูปธมฺมานนฺติ
เอกาลมฺพนคหณ.
ตตฺถ ในบรรดาลักษณะทั้ง
๔, ยทิ ถ้าหากว่า ธมฺมา ธรรมทั้งหลาย อธิปฺเปตา
อันอาจารย์ประสงค์แล้ว เจโตยุตฺตา อิติ ว่าเป็นธรรมชาติที่ประกอบกับจิต เอกุปฺปาทมตฺเตน เอว
โดยเหตุสักว่าเกิดขึ้นพร้อมกันเท่านั้น ไซร้, ตทา ทีนั้น เจโตยุตฺตตา ความเป็นธรรมชาติประกอบกับจิต
รูปธมฺมานํปิ แม้แห่งรูปธรรม อุปฺปชฺชมานานํ ซึ่งเกิดขึ้น สห
พร้อม จิตฺเตน ด้วยจิต อาปชฺเชยฺย
พึงสำเร็จ อิติ เพราะเหตุนั้น เอกนิโรธคหณํ คำว่า เอกนิโรธ
การดับไปพร้อมกัน [อาจริเยน อันอาจารย์ วุตฺตํ กล่าวไว้
นิวาเรตุ เพื่ออันห้าม
เจโตยุตฺตตํ ซึ่งความเป็นธรรมที่ประกอบกับจิต เตสํ รูปธมฺมานํ
แห่งรูปธรรมเหล่านั้น สหุปฺปนฺนานํ ซึ่งเกิดขึ้นพร้อม จิตฺเตน กับจิต
นานาวิโรธตฺตา เพราะมีความดับไปต่างขณะกัน].
เอวํปิ [= ลกฺขณทฺวยยุตฺเต เมื่อการประกอบด้วยลักษณะสอง สนฺเต มีอยู่], ปณฺฑิเตน บัณฑิต น สกฺกา ไม่อาจ นิวาเรตุ เพื่ออันห้าม ปสงฺโค ความเกี่ยวข้อง [เจโตยุตฺตตาย
ซึ่งความเป็นธรรมอันประกอบกับจิต] วิฺตฺติทฺวยสฺส แห่งวิญญัติทั้งสองจิตฺตานุปริวตฺติโน
ซึ่งมีความเป็นไปตามซึ่งจิต [เอกุปฺปาทเอกนิโรธภาวโต
เพราะความที่ วิฺตฺติทฺวยสฺส
แห่งวิญญัติทั้งสอง - มีความเกิดขึ้นพร้อมกันและมีความดับไปพร้อม จิตฺเตน
กับจิต อิติ เพราะเหตุนั้น อาลมฺพนคฺคหณํ
คำว่า มีอารมณ์เดียวกัน อาจริเยน อันอาจารย์ วุตฺตํ กล่าวไว้ นิวาเรตุ เพื่ออันห้าม เจโตยุตฺตตํ
ซึ่งความที่ - วิฃฺฃตฺติทฺวยสฺส แห่งวิญญัติทั้งสอง สหุปฺปาทนิโรธสฺสาปิ
แม้มีความเกิดขึ้นและดับไปพร้อมกัน จิตฺเตน กับจิต -
เป็นธรรมอันประกอบกับจิต อนารมฺมณตฺตา
เพราะความเป็นธรรมที่ไม่รู้อารมณ์], ตถา เช่นกัน ปริกปฺเปนฺตสฺส เมื่อบุคคลคิด
อิมํ วจนตฺถํ ซึ่งวจนัตถะนี้ อิติ
ว่า [รูปธมฺมา รูปธรรม] เอกุปฺปาทนิโรธา ชื่อว่า
มีความเกิดขึ้นและดับไป อิติ = อิมินา
วจนตฺเถน ก็ด้วยวจนัตถะนี้ว่า
อุปฺปาโท วา ความเกิดขึ้น [เอกโต
พร้อมกัน ภวงฺคจิตฺเตน กับภวังคจิต สตฺตรสเมน ดวงที่ ๑๗ คณนาวเสน
โดยเกี่ยวกับการนับ ปฏิโลมโต ถอยไป ปฏฺฅาย จับตั้งแต่ จุติจิตฺตโต แต่จุติจิต] หรือ นิโรโธ
วา หรือว่า ความดับไป เอกโต
พร้อมกัน [จุติจิตฺเตน ด้วยจุติจิต สตฺตรสเมน
ซึ่งเป็นจิตดวงที่ ๑๗ คณนาวเสน โดยเกี่ยวกับการนับ อนุโลมโต
โดยลำดับ ปฏฺฅาย จับตั้งแต่ ยถาวุตฺตภวงฺคจิตฺตโต
แต่ภวังคจิตดวงที่กล่าวมาแล้ว] เอเตสํ รูปธมฺมานํ
ของรูปธรรมเหล่านั้น [อุปฺปนฺนานํ ที่เกิดขึ้น
อุปฺปาทกฺขเณ ในอุปปาทักขณะ ยถาวุตฺตภวงฺคจิตฺตสฺส
แห่งภวังคจิตดวงที่กล่าวมาแล้ว อตฺถิ มีอยู่]" ดังนี้,
น สกฺกา บัณฑิต ไม่อาจ นิวาเรตุ เพื่ออันห้าม ปสงฺโค
ความเกี่ยวข้อง รูปธมฺมานํ แห่งรูปธรรม อุปฺปชฺชิตฺวา ที่เกิดขึ้น
[สห พร้อมกัน ยถาวุตฺตภวงฺคจิตฺเตน
กับภวังคจิตดวงที่กล่าวมาแล้ว] ปุเรตรํ
[= อุปฺปาทกฺขเณ ในอุปปาทักขณะ ยถาวุตฺตภวงฺคจิตฺตสฺส
แห่งภวังคจิตดวงที่กล่าวมาแล้ว ปุพฺพตเร ที่เกิดก่อน อุปฺปาทกฺขณโต
อุปปาทักขณะ จุติจิตฺตสฺส แห่งจุติจิต] นิรุชฺฌมานานมฺปิ แม้ดับไป ภงฺคกฺขเณ ในภังคักขณะ
จิตฺตสฺส = จุติจิตฺตสฺส แห่งจุติจิต
[เอกุปฺปาทภาวโต เพราะมีความเกิดขึ้นพร้อมกัน จิตฺเตน
กับจิต วา = อฃฺเฃน อีกดวงหนึ่ง. เอกนิโรธภาวโต เพราะมีความดับไปพร้อมกัน จิตฺเตน
จิต วา = อฃฺเฃน อีกดวงหนึ่ง] อิติ
เพราะเหตุนั้น เอกาลมฺพนคฺคหณํ คำว่า มีอารมณ์เดียวกัน อาจริเยน อันอาจารย์ วุตฺตํ
จึงกล่าวไว้ อสกฺกุเณยฺยตฺตา เพราะความที่
- เจโตยุตฺตตาปตฺติยา การเข้าถึงความเป็นธรรมที่ประกอบกับจิต ยถาวุตฺตรูปธมฺมานํ แห่งรูปธรรมดังกล่าว
ปณฺฑิเตน อันบัณฑิต - ไม่สามารถ นิวาเรตุ ห้ามได้].
๑๖๒. เย เอว
ติวิธลกฺขณา ธมฺมา เต นิยมโต เอกวตฺถุกาเยวาติ ทสฺสนตฺถ
เอกวตฺถุคหณนฺติ. อลมติปปฺเจน.
เอกวตฺถุคหณํ คำว่า
มีวัตถุเดียวกัน [อาจริเยน อันอาจารย์
วุตฺตํ กล่าวไว้] ทสฺสนตฺถํ เพื่ออันแสดง
อิติ ว่า เย ธมฺมา ธรรมเหล่าใด ติวิธลกฺขณา มีลักษณะ ๓ อย่าง
เอวํ อย่างนี้, เต ธรรมเหล่านั้น เอกวตฺถุกา เอว ชื่อว่า
มีวัตถุเป็นอันเดียวกันนั่นเอง นิยมโต โดยแน่นอน อิติ ฉะนี้แล. อลํ = อยุตฺตํ ไม่เหมาะเลย อติปปฃฺเจน ด้วยการขยายความมากจนเกินไป.
---------------
อฃฺฃสมานาเจตสิกวณฺณนา
อฃฺฃสมานาเจตสิกวณฺณนา
อธิบายอัญญสมานาเจตสิก
มยา อันเรา วุจฺจเต จะกล่าว.
๑๖๓. กถนฺติ สรูปสมฺปโยคาการาน กเถตุกมฺยตาปุจฺฉา. ผุสตีติ ผสฺโส. สฺวาย
ผุสนลกฺขโณ. อยฺหิ อรูปธมฺโมปิ
สมาโน อารมฺมเณ ผุสนากาเรเนว ปวตฺตติ
สา จสฺส ผุสนาการปฺปวตฺติ อมฺพิลขาทกาทีน ปสฺสนฺตสฺส
ปรสฺส เขฬุปฺปาทาทิ วิย ทฏฺพฺพา.
กถํ อิติ ปทํ
บทว่า อย่างไรบ้าง กเถตุกมฺยตาปุจฺฉา
เป็นคำถามที่ต้องการเพื่อจะแสดง สรูปสมฺปโยคาการานํ ซึ่งสภาวะที่มีอยู่ [ทฺวิปฃฺจปฃฺฃาสธมฺมานํ
แห่งธรรม ๕๒] และอาการที่ประกอบร่วมกัน.
โย ธมฺโม ธรรมใด ผุสติ
ย่อมกระทบ อิติ เพราะเหตุนั้น โส ธมฺโม ธรรมนั้น ผสฺโส ชื่อว่า ผัสสะ. โส
อยํ ผัสสะนี้นั้น ผุสนลกฺขโณ มีการกระทบเป็นลักษณะ. หิ จริงอยู่ อยํ
ผัสสะนี้ อรูปธมฺโมปิ แม้เป็นอรูปธรรม สมาโน เป็นอยู่ ปวตฺตติ
ย่อมเป็นไป ผุสนากาเรน โดยอาการที่กระทบ อารมฺมเณ
ในอารมณ์ เอว นั่นเทียว, จ
อนึ่ง สา ผุสนาการปฺปวตฺติ ความเป็นไปโดยอาการที่กระทบนั้น อสฺส
ของผัสสะนั้น ทฏฺฅพฺพา
บัณฑิตพึงเห็น วิย เหมือนกับ เขฬุปฺปาทาทิ
อาการมีการเกิดขึ้นแห่งน้ำลายเป็นต้น ปรสฺส แห่งชนผู้หนึ่ง ปสฺสนฺตสฺส
ผู้เห็นอยู่ ชนานํ ซึ่งชนอีกคนหนึ่ง อมฺพิลขาทกาทีนํ ผู้เคี้ยวกินของเปรี้ยวเป็นต้น.
๑๖๔.เวทิยติ อาลมฺพนรส
อนุภวตีติ เวทนา. สา
เวทยิตลกฺขณา.อารมฺมณรสานุภวนฺหิ
ปตฺวา เสสสมฺปยุตฺตธมฺมา เอกเทสมตเตเนว อนุภวนฺติ. เอกสโต
ปน อิสฺสรวตาย เวทนาว อนุภวนฺติ. ตถาเหสา
สุโภชนรสานุภวนกราชา วิยาติ วุตฺตา.
สุขาทิวเสน ปนสฺสา เภท
สยเมว วกฺขติ.
ยา ธมฺมชาติ
ธรรมชาติใด เวทิยติ = อนุภวติ ย่อมเสวย
อาลมฺพนรสํ ซึ่งรสแห่งอารมณ์
อิติ เพราะเหตุนั้น สา ธมฺมชาติ ธรรมชาตินั้น
เวทนา ชื่อว่า เวทนา. สา เวทนานั้น เวทยิตลกฺขณา
มีความเป็นไปโดยอาการที่เสวย(รสอารมณ์)เป็นลักษณะ. หิ จริงอยู่ เสสสมฺปยุตฺตธมฺมา
สัมปยุตธรรมที่เหลือทั้งหลาย ปตฺวา
ถึง อารมฺมณรสานุภวนํ
ซึ่งการเสวยรสของอารมณ์ อนุภวนฺติ ย่อมเสวย เอกเทส- มตฺเตเนว โดยเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น. ปน
แต่ว่า เวทนา ว เวทนานั่นเทียว อนุภวนฺติ
ย่อมเสวย เอกํสโต โดยส่วนเดียว อิสฺสรวตาย อย่างมีความเป็นใหญ่.
ตถาหิ จริงอย่างนั้น เอสา เวทนานี้ วุตฺตา อันพระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้
อิติ ว่า วิย เหมือนกับ สุโภชนรสานุภวนกราชา พระราชาผู้เสวยรสแห่งโภชนะอันเลิศ
ฉะนั้น. ปน ก็ อาจริโย ท่านอาจารย์ วกฺขติ
จักกล่าว เภทํ ซึ่งประเภท อสฺสา เวทนานั้น สุขาทิวเสน โดยเนื่องด้วยสุขเวทนาเป็นต้น
สยํ ด้วยตนเอง เอว
นั่นเทียว.
๑๖๕. นีลาทิเภทารมฺมณ สฺชานาติ สฺ กตฺวา
ชานาตีติ สฺา. สา สฺชานนลกฺขณา.
สา หิ อุปฺปชฺชมานา ทารุอาทีสุ
วฑฺฒกีอาทีน สฺากรณ วิย
ปจฺฉา สฺชานนสฺส การณภูต อาการ
คเหตฺวา อุปฺปชฺชติ. นิมิตฺตการิกาย ปน ตาเวต ยุชฺชติ,
นิมิตฺเตน สฺชานนฺติยา ปน
กถนฺติ. สาปิ ปุน
อปราย สฺาย สฺชานนสฺส นิมิตฺต
อาการ คเหตฺวา อุปฺปชฺชตีติ
น เอตฺถ โกจิ
อสมฺภโว.
ยา ธมฺมชาติ
ธรรมชาติใด สญฺชานาติ = ชานาติ คือ ย่อมรู้
นีลาทิเภทารมฺมณํ ซึ่งอารมณ์อันต่างโดยสีมีเขียวเป็นต้น กตฺวา โดยกระทำ
สฃฺฃํ
เป็นเครื่องกำหนดหมาย [เอวํ อิติ ว่า เป็นอย่างนี้] อิติ เพราะเหตุนั้น สา ธมฺมชาติ ธรรมชาตินั้น สฃฺฃา ชื่อว่า สัญญา. สา
สัญญานั้น สฃฺชานนลกฺขณา มีการหมายรู้เป็นลักษณะ. หิ
จริงอยู่ สา สัญญานั้น อุปฺปชฺชมานา เมื่อเกิดขึ้น อุปฺปชฺชติ
ย่อมเกิดขึ้น คเหตฺวา ถือเอา อาการํ ซึ่งอาการ การณภูตํ
อันเป็นเหตุ สฃฺชานนสฺส
แห่งการจำได้ ปจฺฉา ในภายหลัง วิย เหมือนกับ สฃฺฃากรณํ
การทำเครื่องหมาย ทารุอาทีสุ ที่วัตถุมีไม้เป็นต้น วฑฺฒกีอาทีนํ
แห่งนายช่างไม้เป็นต้น.
โจทนา ท้วง อิติ
ว่า ปน ก็ เอตํ [= ปุน
สฃฺชานนนิมิตฺตกรณํ การทำเครื่องหมายอันเป็นเหตุแห่งการจำได้อีก] นี้ ยุชฺชติ
ย่อมควร นิมิตฺตการิกาย [= ปจฺฉาสฃฺชานนปจฺจยสฃฺฃาณการิกาย
ปฅมาย สฃฺฃาย] แก่สัญญาแรกที่เป็นสภาวะทำเครื่องหมายมีสัณฐานเป็นต้นอันเป็นปัจจัยแก่การจำได้ในภายหลังตาว
ก่อน, ปน แต่ว่า [ยุชฺชติ ย่อมควร สฃฺฃาย
แก่สัญญา ทุติยาย ที่ ๒ อปราย ต่อมา] สฃฺชานนฺติยา ที่กำลังจำ นิมิตฺเตน
โดยนิมิต [นีลาทิทีฆาทินา มีเขียวเป็นต้นและยาวเป็นต้น] กถํ ได้อย่างไร?
วิสชฺชนํ ตอบ อิติ
ว่า สาปิ สฃฺฃา ทุติยา สัญญาที่ ๒ แม้นั้น สฃฺชานนฺติยา ที่กำลังจำ
นิมิตฺเตน โดยนิมิต อุปฺปชฺชติ
ย่อมเกิดขึ้น คเหตฺวา ถือเอา อาการํ ซึ่งอาการมีสัณฐานเป็นต้น
นิมิตฺตํ อันเป็นปัจจัย สฃฺฃาย แก่สัญญา อปราย ต่อมา ปุน
อีก อิติ เพราะเหตุนั้น อสมฺภโว ความไม่ถูกต้อง โกจิ ไรๆ เอตฺถ
ในสัญญาที่กำลังจดจำด้วยนิมิตนี้ น โหติ ย่อมไม่มี.
๑๖๖. เจเตติ อตฺตนา
สมฺปยุตฺตธมฺเม อารมฺมเณ อภิสนฺทหติ
สงฺขตาภิสงฺขรเณ วา พฺยาปารมาปชฺชตีติ เจตนา. ตถาหิ
อยเมว อภิสงฺขรเณ ปธานตฺตา
วิภงฺเค สุตฺตนฺตภาชนีเย สงฺขารกฺขนฺธ
วิภชนฺเตน สงฺขตมภิสงฺขโรนฺตีติ
สงฺขาราติ วตฺวา จกฺขุสมฺผสฺสชาเจตนาติอาทินา นิทฺทิฏฺา. สา เจตยิตลกฺขณา
เชฏฺสิสฺสมหาวฑฺฒกี-อาทโย วิย สกิจฺจปรกิจฺจสาธิกาติ ทฏฺพฺพา. เอกคฺคตาวิตกฺกวิจารปีตีน สรูปวิภาวน เหฏฺา อาคตเมว.
ยา
ธมฺมชาติ
ธรรมชาติใด เจเตติ = อภิสนฺทหติ ย่อมจัดการ สมฺปยุตฺตธมฺเม
ซึ่งธรรมที่สัมปยุตกับ อตฺตนา ด้วยตน อารมฺมเณ ไว้ในอารมณ์ , วา อีกอย่างหนึ่ง [เจเตติ] = อาปชฺชติ ย่อมถึง พฺยาปารํ ซึ่งความขวนขวาย สงฺขตาภิสงฺขรเณ
ในการปรุงแต่งซึ่งสังขตธรรม อิติ เพราะเหตุนั้น สา
ธมฺมชาติ ธรรมชาตินั้น เจตนา ชื่อว่า เจตนา. ตถาหิ
จริงอย่างนั้น ปธานตฺตา เพราะความที่ - เจตนาย แห่งเจตนาเป็นประธาน อภิสงฺขรเณ
ในการปรุงแต่ง อยํ เจตนา เจตนานี้ เอว เท่านั้น ภควตาอันพระผู้มีพระภาค
วิภชนฺเตน เมื่อทรงจำแนก สงฺขารกฺขนฺธํ ซึ่งสังขารขันธ์ สุตฺตนฺตภาชนีเย
ไว้ในสุตตันตภาชนีย์ วิภงฺเค ในพระบาฬีวิภังค์ วตฺวา ตรัสแล้ว อิติ ว่า [โย สภาโว สภาวะใด] อภิสงฺขโรติ
ย่อมปรุงแต่ง สงฺขตํ ซึ่งสังขตธรรม อิติ เพราะเหตุนั้น [โส สภาโว สภาวะนั้น] สงฺขาโร ชื่อว่า
สังขาร ดังนี้ นิทฺทิฏฺฅา แล้วทรงแสดงไข อิติ ว่า จกฺขุสมฺผสฺสชาเจตนา
ได้แก่ เจตนาอันเกิดแต่จักขุสัมผัส" ดังนี้.
สา เจตนา
เจตนานั้น เจตยิตลกฺขณา ที่มีการจัดการเป็นลักษณะ ปณฺฑิเตน อันบัณฑิต ทฏฺฅพฺพา
พึงเห็น อิติ ว่า วิย เหมือนกับ เชฏฺสิสฺส มหาวฑฺฒกีอาทโย ปุคฺคลา
บุคคลทั้งหลายมีหัวหน้าศิษย์และช่างใหญ่เป็นต้น สกิจฺจปรกิจฺจสาธิกา ผู้ยังกิจของตนและกิจของผู้อื่นให้สำเร็จอยู่.
สรูปวิภาวน
การแสดงลักษณะ เอกคฺคตาวิตกฺกวิจารปีตีนํ
ของเอกัคคตา วิตก วิจาร และปีติ อาคตํ
มาแล้ว เหฏฺา [รูปาวจรจิตฺตวณฺณนายํ
ในคำอธิบายรูปาวจรจิต] ข้างต้น เอว
นั่นเทียว.
๑๖๗. ชีวนฺติ เตน
สมฺปยุตฺตธมฺมาติ ชีวิต. ตเทว สหชาตานุปาลเน อธิปจฺจโยเคน อินฺทฺริยนฺติ
ชีวิตินฺทฺริย. ต
อนุปาลนลกฺขณ อุปฺปลาทีนิ อนุปาลก
อุทก วิย.
สมฺปยุตฺตธมฺมา
สัมปยุตธรรมทั้งหลาย ชีวนฺติ [= ปวตฺตนฺติ] ย่อมเป็นไป เตน
ธมฺมชาเตน เพราะธรรมชาตินั้น อิติ เพราะเหตุนั้น ตํ ธมฺมชาตํ
ธรรมชาตินั้น ชีวิตํ ชื่อว่า
ชีวิต. ตํ เอว ชีวิตนั้นนั่นเอง อินฺทฺริยํ เป็นอินทรีย์
อธิปจฺจโยเคน โดยเนื่องด้วยความเป็นใหญ่ สหชาตานุปาลเน เพราะการตามรักษาธรรมที่เกิดร่วมกัน
อิติ เพราะเหตุนั้น ชีวิตินฺทฺริยํ
ชื่อว่า ชีวิตินทรีย์. ตํ ชีวิตินฺทฺริยํ ชีวิตินทรีย์นั้น อนุปาลนลกฺขณํ [=อนุปาลนสภาวํ] ที่มีการตามรักษาเป็นสภาวะ
[โหติ ย่อมเป็น] วิย เหมือนกับ อุทกํ น้ำ อนุปาลกํ
ที่ตามรักษา อุปฺปลาทีนิ ซึ่งบัวมีบัวอุบลเป็นต้น.
๑๖๘. กรณ กาโร.
มนสฺมึ กาโร มนสิกาโร.
โส เจตโส อารมฺมเณ สมนฺนาหารลกฺขโณ.
กรณํ
การกระทำ กาโร ชื่อว่า การะ. กาโร การกระทำ มนสฺมึ
เข้าไว้ในใจ มนสิกาโร ชื่อว่า มนสิการ. โส
มนสิกาโร มนสิการนั้น สมนฺนาหารลกฺขโณ มีการนำเอา - เจตโส ซึ่งจิต
อารมฺมเณ เข้าไว้ในอารมณ์ - เป็นลักษณะ.
๑๖๘. วิตกฺโก สหชาตธมฺมาน
อารมฺมเณ อภินิโรปนสภาวตฺตา เต ตตฺถ
ปกฺขิปนฺโต วิย โหติ,
เจตนา อตฺตนา อาลมฺพนคฺคหเณน ยถารุเฬฺห ธมฺเมปิ
ตตฺถ นิโยเชนฺตี พลนายโก
วิย โหติ, มนสิกาโร เต อารมฺมณาภิมุขปฺปโยชนโต อาชานียาน
ปโยชนกสารถิ วิยาติ อยเมเตส วิเสโส.
วิเสโส
ความแตกต่างกัน เอเตสํ แห่งธรรมเหล่านี้ อยํ นี้ อิติ
คือ อภินิโรปน-สภาวตฺตา เพราะความที่แห่ง [วิตกฺกสฺส วิตก] มีการยก สหชาตธมฺมานํ
ซึ่งธรรมที่เกิดร่วมกันไว้ อารมฺมเณ ในอารมณ์ - เป็นสภาวะ วิตกฺโก
วิตก โหติ จึงเป็น วิย เหมือน ปกฺขิปนฺโต วางไว้ เต สหชาตธมฺเม
ซึ่งธรรมที่เกิดร่วมกัน ตตฺถ เข้าไว้ในอารมณ์นั้น. เจตนา เจตนา นิโยเชนฺตี เมื่อชักนำ ธมฺเมปิ แม้ซึ่งธรรมทั้งหลาย
ยถารุฬฺเห
ตามที่วิตกยกขึ้นแล้ว ตตฺถ เข้าไว้ในอารมณ์ อตฺตนา โดยตนเอง อาลมฺพนคฺคหเณน โดยการให้รับอารมณ์ได้
โหติ จึงเป็น วิย เหมือนกับ พลนายโก แม่ทัพ. มนสิกาโร มนสิการ โหติ ย่อมเป็น วิย
เหมือนกับ ปโยชนกสารถิ นายสารถีผู้บังคับ อาชานียานํ
ซึ่งม้าอาชาไนย อารมฺมณาภิมุขปฺปโยชนโต เพราะการบังคับ - เต = สหชาตธมฺเม ซึ่งธรรมที่เกิดร่วมกัน
- ให้มุ่งหน้าตรงต่ออารมณ์.
๑๖๙. ธมฺมานฺหิ ตตยาถาวสรสลกฺขณ สภาวโต ปฏิวิชฺฌิตฺวา ภควตา
เต เต ธมฺมา
วิภตฺตาติ ภควติ สทฺธาย เอว
วิเสสา อิเม ธมฺมาติ
โอกปฺเปตฺวา อุคฺคหณ-ปริปุจฺฉาทิวเสน
เตส สภาวสมธิคมาย โยโค กรณีโย,
น
ปน ตตฺถ ตตฺถ วิปฺปฏิปชฺชนฺเตหิ สมฺโมโห อาปชฺชิตพฺโพติ อยเมตฺถ อาจริยาน
อนุสาสนี.
อยํ กถา
ข้อความนี้ อิติ ว่า ปณฺฑิเตน
บัณฑิต โอกปฺเปตฺวา กำหนดลงไป อิติ
ว่า อิเม ธมฺมา ธรรมเหล่านี้ วิเสสา มีความต่างกัน เอวํ
อย่างนี้ ดังนี้ สทฺธาย ด้วยศรัทธา
ภควติ ในพระผู้มีพระภาค อิติ ว่า หิ จริงอยู่ เต ธมฺมา
ธรรมเหล่านั้น ภควตา
อันพระผู้มีพระภาค วิภตฺตา ผู้ - ปฏิวิชฺฌิตฺวา ทรงแทงตลอดแล้ว ตํตํยาถาว-สรสลกฺขณํ
ซึ่งลักษณะอันเป็นสภาวะของตนตามความเป็นจริงนั้นๆ ธมฺมานํ
แห่งธรรมทั้งหลาย สภาวโต
โดยสภาวะ แล้ว -
ทรงจำแนกไว้" ดังนี้ แล้ว กรณีโยพึงกระทำ โยโค ความเพียร สภาวสมธิคมาย
เพื่อแทงตลอดสภาวะ เตสํ แห่งธรรมเหล่านั้น อุคฺคหณปริปุจฺฉาทิวเสน โดยเกี่ยวกับการเรียนและการสอบถามเป็นต้นเถิด.
ปน ส่วน วิปฺปชฺชนฺเตหิ บุคคลผู้กำลังสำคัญผิด ตตฺถ
ตตฺถ
ในธรรมนั้นๆ น อาปชฺชิตพฺโพ
ก็จะไม่เข้าถึง สมฺโมโห ความลุ่มหลง” ดังนี้
อนุสาสนี เป็นคำพร่ำสอน อาจาริยานํ
แห่งอาจารย์ทั้งหลาย เอตฺถ ในเรื่องนี้.
๑๗๐. สพฺเพสมฺปิ เอกูนนวุติจิตฺตาน สาธารณา
นิยมโต เตสุ อุปฺปชฺชนโตติ สพฺพจิตฺตสาธารณา นาม.
[ผสฺสาทโย
เจตสิกา สตฺต
เจตสิกทั้งหลาย ๗ มีผัสสะเป็นต้น] สาธารณา
เป็นสาธารณะ เอกูนนวุติจิตฺตานํ
แก่จิต ๘๙ สพฺเพสํปิ แม้ทั้งปวง อุปฺปชฺชนโต เพราะเกิดขึ้น เตสุ
ในจิตเหล่านั้น นิยมโต โดยแน่นอน อิติ เพราะเหตุนั้น สพฺพจิตฺต- สาธารณา นาม ชื่อว่า
สัพพจิตตสาธารณะ
[สพฺพจิตฺตสาธารณเจตสิกวณฺณนา
นิฏฺฅิตา
สพฺพจิตฺตสาธารณเจตสิกวณฺณนา อธิบายสัพพจิตตสาธารณเจตสิก
นิฏฺฅิตา จบ]
๑๗๑.อธิมุจฺจน อธิโมกฺโข.
โส หิ สนฺนิฏฺานลกฺขโณ อารมฺมเณ นิจฺจลภาเวน อินฺทขีโล
วิย ทฏฺพฺโพ.
อธิมุจฺจนํ
การตัดสินอารมณ์ อธิโมกฺโข ชื่อว่า อธิโมกข์. หิ จริงอยู่ โส
อธิโมกข์นั้น สนฺนิฏฺฅานลกฺขโณ อันมีการตัดสินอารมณ์เป็นลักษณะ ทฏฺฅพฺโพ
บัณฑิตพึงเห็น วิย เหมือนกับ อินฺทขีโล เสาเขื่อน นิจฺจลภาเวน
เพราะไม่หวั่นไหว อารมฺมเณ ในอารมณ์.
๑๗๒. วีราน ภาโว
กมฺม วา วิธินา
อีรยิตพฺพ ปวตฺเตตพฺพนฺติ วา
วิริย อุสฺสาโห. โส สหชาตาน อุปตฺถมฺภนลกฺขโณ. วิริยวเสน
หิ เตส โอลีนวุตฺติตา น โหติ.
เอวฺจ กตฺวา อิมสฺส
วิตกฺกาทีหิ วิเสโส สุปากโฏ โหติ.
ภาโว ภาวะ วีรานํ
แห่งคนกล้า วิริยํ ชื่อว่า วิริยะ วา , กมฺมํ วา หรือ การงาน
วีรานํ แห่งคนกล้า
วิริยํ ชื่อว่า วิริยะ, วา อีกนัยหนึ่ง ยํ ธมฺมชาตํ ธรรมชาติใด อีรยิตพฺพํ
อันบุคคลพึงให้ไป ปวตฺเตตพฺพํ คือว่า พึงให้เป็นไป วิธินา
โดยวิธีการ อิติ เพราะเหตุนั้น ตํ ธมฺมชาตํ ธรรมชาตินั้น วีริยํ
ชื่อว่า วิริยะ, อุสฺสาโห ได้แก่ ความอุตสาหะ. โส วีริโย วิริยะนั้น
อุปตฺถมฺภนลกฺขโณ มีการค้ำจุน - สหชาตานํ ธรรมที่เกิดร่วมกัน -
เป็นลักษณะ. หิ จริงอยู่ โอลีนวุตฺติตา ความเป็นไปย่อหย่อน เตสํ
แห่งธรรมที่เกิดร่วมกันนั้น น โหติ ย่อมไม่มี วิริยวเสน ด้วยอำนาจแห่งวิริยะ.
เอวญฺจ กตฺวา เพราะทำอธิบายอย่างนี้ วิเสโส ความแตกต่างกัน วิตกฺกาทีหิ จากวิตกเป็นต้น อิมสฺส
แห่งวิริยะนี้ สุปากโฏ
จึงเป็นอันปรากฏชัด โหติ ย่อมเป็น.
๑๗๓. ฉนฺทน ฉนฺโท อาลมฺพเนนาตฺถิกตา. โส กตฺตุกมฺยตาลกฺขโณ. ตถาเหส
อารมฺมณคฺคหเณ เจตโส หตฺถปฺปสารณ วิยาติ วุจฺจติ.
ฉนฺทนํ ความพอใจ ฉนฺโท ชื่อว่า ฉันทะ. โส
ฉนฺโท ฉันทะนั้น กตฺตุกมฺยตาลกฺขโณ
มีความเป็นผู้ใคร่จะกระทำเป็นลักษณะ. ตถาหิ จริงอย่างนั้น เอโส ฉนฺโท
ฉันทะนี้ วุจฺจติ พระอรรถกถาจารย์ กล่าวไว้ อิติ ว่า วิย
เป็นเหมือน หตฺถปฺปสารณํ การเหยียดแขนออกไป อารมฺมณคฺคหเณ
ในการรับอารมณ์ เจตโส แห่งจิต ดังนี้.
๑๗๔. ทานวตฺถุวิสฺสชฺชนวเสน ปวตฺตกาเลปิ
เจส วิสฺสชฺชิตพฺเพน เตน อตฺถิโกว ขิปิตพฺพอุสูน คหเณ
อตฺถิโก อิสฺสาโส วิย.
จ อนึ่ง เอส
ฉนฺโท ฉันทะนี้ ปวตฺตกาเลปิ แม้ในเวลาที่เป็นไป ทานวตฺถุ- วิสฺสชนวเสน
ด้วยอำนาจการสละทานวัตถุ อตฺถิโก เป็นผู้ต้องการ วิสฺสชฺชิตพฺเพน
ด้วยทานวัตถุที่ต้องสละ เตน นั้น ว
นั่นเทียว วิย เป็นเหมือนกับ อิสฺสาโส นายขมังธนู อตฺถิโก
ผู้มีความต้องการ คหเณ ในการจับ ขิปิตพฺพอุสูนํ
ซึ่งลูกศรที่จะต้องซัดไป.
๑๗๕. โสภเณสุ ตทีตเรสุ
จ ปกาเรน กิณฺณา
วิปฺปกิณฺณาติ ปกิณฺณกา.
เจตสิกา
เจตสิกทั้งหลาย ฉ ๖ วิตกฺกาทโย มีวิตกเป็นต้น กิณฺณา
กล่นเกลื่อน ปกาเรน โดยประการ วิปฺปกิณฺณา คือว่า
กระจัดกระจายไปโดยประการต่างๆ โสภเณสุ จ ในโสภณจิตด้วย ตทีตเรสุ จ
ในอโสภณจิตที่เป็นอื่นไปจากโสภณจิตนั้นด้วย อิติ เพราะเหตุนั้น ปกิณฺณกา
ชื่อว่าปกิณณกะ.
๑๗๖. โสภณาเปกฺขาย อิตเร
อิตราเปกฺขาย โสภณา จ อฺเ นาม.
เตส สมานา น
อุทฺธจฺจาทิสทฺธาทโย วิย อกุสลาทิสภาวาเยวาติ อฺสมานา.
โสภณาเปกฺขาย
เพราะเพ่งถึง (คือเทียบ) กับโสภณจิต อิตเร [อโสภณา] อโสภณจิตนอกนี้ อฃฺเฃ นาม ชื่อว่า อัญญะ, อิตราเปกฺขาย
เพราะเพ่งถึงอโสภณจิตนอกนี้ โสภณา โสภณจิต อฃฺเฃ นาม ชื่อว่า อัญญะ,
เจตสิกา เจตสิกทั้งหลาย สมานา ที่ทั่วไป เตสํ
โสภณาโสภณานํ แก่โสภณจิตและอโสภณจิตเหล่านั้น น อกุสลาทิสภาวา เอว คือมิได้มีสภาวะเป็นอกุศลเป็นต้น
เท่านั้น วิย เหมือนอย่างกับ อุทฺธจฺจาทิสทฺธาทโย อกุศลเจตสิกทั้งหลายมีอุทธัจจะและโสภณเจตสิกทั้งหลายมีสัทธาเป็นต้น
อิติ เพราะเหตุนั้น เต เจตสิกา เจตสิกเหล่านั้น อฃฺฃสมานา
จึงชื่อว่า อัญญสมานเจตสิก.
อฃฺฃสมานาเจตสิกวณฺณนา นิฏฺฅิตา
อฃฺฃสมานาเจตสิกวณฺณนา
การอธิบายอัญญสมานเจตสิก นิฏฺฅิตา จบแล้ว.
v
สญฺชานาตีติ สุฏฺฐุ ชานาติ. สุฏฺฐุชานนญฺจ นาม น วิญฺญาณสฺส วิย วิวิธชานนํ โหติ. น จ ปญฺญาย วิย ยถาภูตชานนํ โหติ. อถโข ภูตํ วา โหตุ, อภูตํ วา. ยํ ยํ ฉ หิ วิญฺญาเณหิ วิชานาติ, ปญฺญาย วา ปชานาติ. ตสฺส ตสฺส ปจฺฉา อปฺปมุสฺสกรณเมวาติ วุตฺตํ ปุนชานนตฺถํ สญฺญาณํ กโรตีติ
คำว่า “สฃฺชานาติ
ได้แก่ สุฏฺฅุ ชานาติ แปลว่า รู้ด้วยดี. ก็การรู้ด้วยดี นี้
จะเป็นการรู้โดยประการต่างๆ เหมือนอย่างวิญญาณ ก็ไม่ใช่,
จะเป็นการรู้ตามที่เป็นจริง เหมือนปัญญา ก็ไม่ใช่. โดยที่แท้แล้ว ได้แก่
การกระทำความไม่หลงลืมในภายหลังต่ออารมณ์นั้นๆ ไม่ว่าจะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ตาม
ซึ่งวิญญาณและปัญญาได้รู้แล้วนั่นเอง ดังนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า “ปุนชานนตฺถํ
สฃฺฃาณํ กโรติ ทำเครื่องหมาย
เพื่อการรู้อีก”. คำว่า สฃฺฃาน แปลว่า นิมิตฺตกรณ
ทำให้เป็นเครื่องกำหนดหมาย.
รสิยตีติ รโส. ย กิจฺจฺจ
สมฺปนฺนภาโว จ กตฺตุภูเตน
าเณน รสิยติ อสฺสาทิยติ อิติ
ตสฺมา ต กิจฺจฺจ สมฺปนฺนภาโว จ รโส, ธมฺมสฺส สาธารณาทิกิจฺจ สมฺปนฺนภาโว จ. รส อสฺสาทเน สพฺพโต ณฺวุตฺวาวี
วาติ อ.
สิ่งที่น่ายินดี
คือ ถูกญาณยินดี ได้แก่ กิจมีสาธารณกิจเป็นต้นและภาวะที่สมบูรณ์แห่งธรรมทั้งหลาย.
มาจาก รส ธาตุ ในอรรถว่า ยินดี ลง อ ปัจจัย ในกรรมสาธนะ.
อย่างไรก็ตาม
แม้โดยสัททัตถนัย ได้แก่ สิ่งที่ถูกรู้เหมือนกัน คือ วจนัตถะแรก ถูกบุคคลรู้
วจนัตถะที่ ๒ ถูกญาณยินดี กล่าวคือ เป็นอารมณ์ของญาณเ. แต่โดยอธิปเปตัตถะ
มีความหมายต่างกัน คือ วจนัตถะแรกหมายเอาลักษณะมีความแข็งเป็นต้น ส่วนวจนัตถะที่ ๒
หมายถึง กิจและการสำเร็จสมบูรณ์.
ลกฺขณ
สิ่งที่ถูกบัณฑิตกำหนดได้ วิเคราะห์ว่า
ลกฺขิยติ เอเตนาติ
ลกฺขณํ, ลกฺขิตพฺพ ธมฺมชาต
ปณฺฑิเตน อนิจฺจาทินา ลกฺขิยติ อิติ ตสฺมา ต
อนิจฺจาทิก ลกฺขณ นาม
สาธารโณ อนิจฺจาทิโก
กกฺขฬผุสนาทิโก อสาธารโณ จ.
ลกฺข องฺเก กตฺตุกรณปฺปเทเสสุ จ อนกา ยุณฺวูน
รหาทิโต โน ณ.
ธรรมชาติ
อันบัณฑิตกำหนดได้ ด้วยความไม่เที่ยงเป็นต้น ดังนั้น ความไม่เที่ยงเป็นต้นนั้น
ชื่อว่า ลักษณะ (สิ่งที่บัณฑิตใช้เป็นเครื่องกำหนดสภาวธรรม). ได้แก่
ลักษณะที่สาธารณะ มีไม่เที่ยงเป็นต้น และลักษณะที่ไม่สาธารณะ
มีแข็งและกระทบเป็นต้น แห่งธรรมทั้งหลาย. มาจาก ลกฺข ธาตุ ในอรรถว่า กำหนด ลง ณ
ปัจจัยในกรณสาธนะ.
ยาถาว
เป็นนิบาตใช้ในอรรถว่า อวิปรีต ไม่แปรปรวน, ตามความเป็นจริง, ตรงตามนั้น
ซึ่ง ความหมายเท่ากับ ตถ แน่นอน อวิตถ ไม่ผิด, ภูต มีอยู่จริง
เป็นต้น